“ตื่นมาก็เหนื่อย ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร”
“งานที่เคยชอบกลับรู้สึกเฉยชา”
“ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากทำอะไร และอยากหายไปสักพัก…”

หากคุณกำลังรู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่แค่คุณคนเดียว และคุณไม่ได้ “ขี้เกียจ” หรือ “อ่อนแอ” แต่คุณอาจกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า Burnout Syndrome – ภาวะหมดไฟในการใช้ชีวิตและทำงาน

 

Burnout คืออะไร?

Burnout หรือ ภาวะหมดไฟ เป็นภาวะทางจิตใจและร่างกายที่เกิดขึ้นจากความเครียดสะสมเรื้อรัง โดยเฉพาะจากงานหรือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง

องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ Burnout เป็น “กลุ่มอาการ” ที่เกิดจากความเครียดในที่ทำงานที่จัดการไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อาการของ Burnout

ภาวะ Burnout ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยธรรมดา แต่มักแสดงออกทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ดังนี้

 

1. ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ

  • รู้สึกหมดแรง ไม่มีเรี่ยวแรงจะเริ่มต้นวันใหม่
  • นอนไม่หลับหรือหลับมากเกินไป
  • ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

 

2. ความรู้สึกห่างเหินจากงานหรือคนรอบข้าง

  • รู้สึกเฉยชากับงานที่เคยรัก
  • เริ่มมองโลกในแง่ลบ รำคาญง่าย
  • รู้สึกเหมือนทุกอย่าง “ไร้ความหมาย”

 

3. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

  • ไม่มีสมาธิ ลืมง่าย ทำงานผิดพลาดบ่อย
  • ใช้เวลามากขึ้นแต่ได้ผลงานน้อยลง
  • ขาดความมั่นใจในตัวเองและรู้สึกไร้ค่า

ความต่างระหว่าง Burnout กับภาวะซึมเศร้า

แม้ทั้งสองภาวะจะมีอาการคล้ายกันในบางแง่มุม เช่น ความเหนื่อย เบื่อหน่าย และหมดแรง แต่ก็มีความต่างที่สำคัญ:

Burnout

ซึมเศร้า (Depression)

เกิดจากงานหรือภาระเรื้อรัง

อาจไม่มีสาเหตุชัดเจน

รู้สึกดีขึ้นเมื่อลาพัก

ความรู้สึกเศร้าไม่หายแม้ได้พัก

กระทบด้านอาชีพเป็นหลัก

กระทบทุกด้านในชีวิตรวมถึงตนเอง

หากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

 

วิธีฟื้นฟูพลังใจและหลุดจากภาวะ Burnout

 

1. ยอมรับว่า “เราไม่ต้องเก่งตลอดเวลา”

หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือตัวเราในอดีต เรามีสิทธิ์เหนื่อย มีสิทธิ์ผิดพลาด และมีสิทธิ์ขอเวลาพัก

 

2. จัดลำดับชีวิตใหม่ อะไรสำคัญจริงๆ?

ลองทบทวน

  • สิ่งที่คุณ “ต้องทำ” กับสิ่งที่คุณ “อยากทำ” เหมือนกันไหม?
  • คุณใช้เวลาไปกับสิ่งที่เติมพลังหรือสิ่งที่ดูดพลัง?

ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก และจัดลำดับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

 

3. พักแบบมีคุณภาพ

การพักไม่ใช่แค่ “นอน” หรือ “ดูซีรีส์” ไปวันๆ
แต่คือการทำสิ่งที่ คืนพลังให้ตัวตน เช่น

  • เดินเล่นกลางแจ้ง
  • อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม
  • วาดรูป ฟังเพลง ปลูกต้นไม้
  • ใช้เวลากับครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยง

 

4. พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ

อย่ากลัวที่จะบอกว่า “ฉันเหนื่อย”
การพูดออกมาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา

 

5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

หากรู้สึกว่าอาการไม่ดีขึ้น หรือกระทบการใช้ชีวิตจนควบคุมไม่ได้ การพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองลึกขึ้น และหาทางออกที่เหมาะกับคุณ

 

6. ฝึกอยู่กับปัจจุบัน

ลองฝึกสติ (Mindfulness) อย่างง่าย เช่น

  • หายใจเข้า-ออกช้าๆ 5 นาทีต่อวัน
  • สังเกตความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน
  • ดื่มกาแฟสักแก้วโดยไม่หยิบมือถือ

กิจกรรมเล็กๆ เหล่านี้จะช่วยให้สมองและจิตใจ “หยุด” ได้บ้างจากโลกที่หมุนเร็วเกินไป

การหยุดพัก ไม่ใช่การล้มเหลว

Burnout ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายและจิตใจว่า “เราต้องการการดูแล” การกล้าที่จะชะลอ เพื่อฟังตัวเองอย่างแท้จริง คือหนทางสู่ชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน

อย่ารอจนไฟมอดสนิท แล้วค่อยเติมเชื้อเพลิง เริ่มดูแลใจตัวเองวันนี้