Plyometric Training หรือ การฝึกแบบพลัยโอเมตริก เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มพลัง (Power) และความเร็ว (Speed) ของกล้ามเนื้อผ่านการใช้ท่ากระโดดและการเคลื่อนไหวที่เร็วและแรง เป็นการผสมผสานระหว่างการยืดตัวและการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว ทำให้กล้ามเนื้อสามารถสร้างแรงได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง
การฝึกซ้อมแบบ Plyometric เหมาะสำหรับนักกีฬาในหลายประเภท เช่น นักวิ่ง นักบาสเกตบอล และนักฟุตบอล เนื่องจากช่วยเพิ่มพละกำลัง ความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
1. เพิ่มพลังระเบิดของกล้ามเนื้อ (Explosive Power): การฝึก Plyometric เน้นการใช้แรงในช่วงสั้น ๆ ผ่านการกระโดดและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมพละกำลังให้กับกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายสามารถใช้แรงในช่วงสั้น ๆ ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2.พัฒนาความเร็วและความคล่องตัว ท่าการฝึก Plyometric ช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว รวมถึงพัฒนาความคล่องตัว ทำให้เหมาะสำหรับนักกีฬาที่ต้องการพัฒนาสมรรถภาพด้านความเร็ว เช่น นักวิ่งหรือผู้เล่นกีฬาที่ต้องการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
3. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ: Plyometric ช่วยเสริมสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากขึ้น
4. เสริมสร้างความแข็งแกร่งของข้อต่อ ท่ากระโดดในการฝึก Plyometric ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อและกล้ามเนื้อบริเวณขา ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อ
5. ตัวอย่างท่าฝึก Plyometric: ท่าเช่น Jump Squat, Box Jump, และ Lateral Bound ช่วยเพิ่มทั้งพลัง ความเร็ว และความแข็งแรงของร่างกาย โดยสามารถทำได้ง่ายทั้งในฟิตเนสหรือที่บ้าน
6. การอบอุ่นร่างกายสำคัญ: ก่อนการฝึก Plyometric ควรทำการอบอุ่นร่างกายอย่างเหมาะสม เพื่อเตรียมกล้ามเนื้อและข้อต่อให้พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการฝึกที่เข้มข้น
7. ความปลอดภัยและความฟื้นฟู ควรเลือกฝึกในพื้นที่ที่ปลอดภัย เช่น พื้นยางหรือแผ่นรอง และให้เวลาร่างกายพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูจากการฝึกที่หนัก การออกกำลังกายที่เข้มข้นควรได้รับการปรับตามความสามารถของแต่ละบุคคล